จำไว้ว่า ฉันยืนข้าง ดอกบัวดิน

Tuesday, October 31, 2006

ราคะ

ไฟราคะพุ่งทะยาน
จากแดนปฐพีดงมนุษย์
แดงโล่จรดปลายเมฆ
ความกลัว ความเกล้า
สละไม่เกล้า ไม่กลัว
ฉันจะปล่อยทั้งกลัวและเกล้า
ฉันทิ้งทั้งบุญและบาป
All Rights Reserved.
Copyright©2006 Suppachai Suriyut

มัชฌิมค่ำคืน

ฉันจูบดิน กลางสายฝน ฉันคิดถึงเธอ ที่รัก
ฉันหอมฝน กลางเดือนดับ ฉันคิดว่าแกมเธอ ที่รัก
ฉันกอดแดด กลางลมหนาว ฉันเพ้อว่า คือตัวเธอที่รัก
โปร่งบางรูปไร้ ทำนองแพร่วเบา แห่งรัก
ดวงอาทิตย์จะรู้ใหมว่า รักงดงาม
ดวงจันทร์จะเข้าใจใหมว่า รักยืนยาว
วิญญาณแห่งรัก ไร้เหตุผล
ฉันขว้างมันทิ้งไปนอกจักวาล
รักมากมายเท่าไหร่ ฉันทิ้งไว้ในอ้อมกอดเธอ
ณ. วันสิ้นสุดโลภรัก
ฉันจึงไม่แยแสความจริง
ฉันจึงไม่แคร์ความฝัน
ฉันทักทอมาลัยความเงียบเพื่อเธอ...ที่รัก...
ที่ที่ฉันปรากฏ กลางสายฝนที่มีแดด
ที่ที่ฉันอยู่ กลางเดือนดับที่มีแสง
ที่ที่ฉันไป กลางลมหนาวไร้อบอุ่น
ฉันจึงไม่แยแสความจริง
ฉันจึงไม่แคร์ความฝัน
ท่ามกลางมัชฌิมค่ำคืนฉันจะไป...
29-o9-49
All Rights Reserved.
Copyright©2006 Suppachai Suriyut

Sunday, October 29, 2006

บันทึกสิ่งที่เป็น

ฝูงเมฆลอยบนฟ้าเวหาอาวกาศ
น้ำฝนโอบกอดเม็ดดินหินทราย
เมื่อต้นหนาวลมไล่ความชุ่มชื่นสลายหายกลางแดดแรง
ต้นไกว ไกว ใบไม้ระริกเสียงนั้นรำพันรำพึงโอดครวญ
ปลายฟ้าอยู่ตรงใหนแสงฟ้าใสงดงามเท่าไหร่
ดวงอาทิตจะรู้ไหม
ดวงจันทร์จงรับรู้
ดวงดาวให้บอกที่รัก รักเจ้าเอ๋ย
น้ำฝนโอบกอดเม็ดดินหินทราย
สายลมเหน็บหนาวเวิ้งว้างแล้วสงบ
ฉันจึงพบความสุขที่ยิ่งใหญ่ไม่มีตัวตน
All Rights Reserved.
Copyright©2006 Suppachai Suriyut

กระแสหนึ่งนั้น

ณ. แม่น้ำชื่อเจ้าพระยา
ท้องน้ำขูดถะลาดกระฉากไป
ผิวน้ำโยกโย้เย้กกระฟัดกระเฟี้ยดไป
ตบชะวาล่องลองเล่นแปลกจากเรือลอย
ระหว่างกลางนั้นเยื้องเยี่ยงโคนเน่าวังวล
วันหนึ่งฉันเอาใจไปฝากไว้กับอะไรกันแน่
วันนี้ก็เปลี่ยนได้พรุ่งนี้ก็เปลี่ยนดี
เพราะกาลเปลี่ยนฉันจึงคิด
เมื่อฉันคิดแล้วฉันจึงไม่เปลี่ยนสิ่งที่ทำ
ฉันเห็นน้ำขูดดิน ฉันเห็นฟ้ามองดิน
กระแสน้ำนั้นฟุ้งฝันเกินคราดหมาย
วันนี้ที่เป็นเพียงแค่กระแสเริงระบำชั่วขณะ
All Rights Reserved.
Copyright©2006 Suppachai Suriyut

เป็นดั่งเช่นที่เป็น


K-sargyan
แดดเปล่งแสง
สรรพสิ่งระรัวเร้า
บางสิ่งไม่สะทกสะท้าน
แน่นิ่งท่ามกลางลมออกแดดเข้า
รู้แล้วว่าทุกข์รู้แล้วว่าสุข
นี้คือทุกข์ทนไม่ไหว หนักหน่วง
สุขช่างแสนสั้นหอมหลงจงจางคลาย
All Rights Reserved.
Copyright©2006 Suppachai Suriyut

Saturday, October 28, 2006

เวลาหนึ่ง กายคู่จิต

Sowaartwalk
เมื่อถึงเวลาฤดูเปลี่ยน
ปลายหนาวขับขานรับ
ฉันสดับรับรู้จากสายลมโบกไกว
ดอกกิ่งก้านใบสรรพสิ่งที่เรียงล้อม
ความชุ่มชื่นเม็ดฝนรัดตรึงกอดเม็ดดินหินทาย
กาลเวลาวกเวียน ฉันรู้ฉันเบิกบาน
ต้นหนาวปลายฝนลมเปลี่ยนสับสน
น้ำละเหิดคลายเม็ดดินหินทรายกลายฝุ่น
ต้องลาอ้อมกอดแห่งรักไปกลับเพลิงสายลม
จากใบเขียวชุ่มเหือดแห้งกรอบแกร็บตามแรงลมบ้า
แรงแดดยิ่งสว่างยิ่งงดงามอวดตัวตน
เมฆเจ้าลอยไปแห่งหนใด
เส้นทางอีกแสนไกล แต่ ปัจจุบันแสนสั้น
ฉันจึงได้เรียนรู้ว่า อนาคตอีกยาวไกล
ฉันจึงได้เรียนรู้ว่าอดีต ผ่านมายาวนาน
ตอนนี้หายใจแพร่วเบาแทรกกายซ้อนจิต
แผ่นดินแม่ธรณีเจ้าเอย ปราชญ์ท่านกล่าวว่า
เคลื่อนกายได้กำลัง รักษาใจได้ความสงบ
เมื่อฉันนิ่งทุกสิ่งก็ปรากฏ
รื่นเริงบันเทิงจิต
All Rights Reserved.
Copyright©2006 Suppachai Suriyut

Friday, October 27, 2006

149 ต้นทางไม่มุ่งที่ปลายทาง

Christusrex
ดวงอาทิตย์ไม่เคยอาวรณ์ละครในตอนเช้า
เร่งปี่ทะยานมุ่งสู่แดนแห่งแดดที่เฉิดฉายกลางวัน
ถึงตอนเย็นย้ำค่ำก็ลาลับพบรักตอนสายจึงลาจาก
แต่ฉันไม่ใช่ตะวัน ฉันเป็นเพียงแค่คลื่นลมฤดูหนึ่งของวันหนึ่ง
ถึงแท้ที่สุดมิอาจพบกัน...จึงไม่มีวันจาก
All Rights Reserved.
Copyright©2006 Suppachai Suriyut

Sunday, October 22, 2006

สหสหายกวี

พรุ่งนี้เราจะพบกันสหาย
ทกข์รู้ว่าเป็นอย่างทุกข์
สุขรู้ว่าเป็นอย่างสุข
แต่กวีอยู่บนเส้นทางเกินสองเส้น
ทุกที่ที่เราไป เราเห็นกวี
ทุกที่ที่เราอยู่ เราเป็นกวี
สหายเราหายใจเข้าก็รู้ว่ากวี
สหายเราหายใจออกก็รู้ว่ากวี
กวี ไม่หวั่นไหว
กวี ไม่งอนง้อใคร
กวี ไม่เคยขอใคร
กวี เหยียบดิน ดินนั้นจะหอมหวน
สหสหาย

บ้าน



ทางมา คือ
ทางกลับ นั้น
หมายถึง ทาง
กลับบ้าน หลังเดิม
ไม่มี และ ไม่เคยมี
นอกจากดวงจิต
จิต- อัน- บริสุทธิ์
All Rights Reserved.
Copyright©2006 Suppachai Suriyut

Saturday, October 21, 2006

เจ้าหญิงเริงระบำในแดนตาย

สาวน้อยเริงระบำในแดนแห่งความตาย
ท่ามกลางถนนกลางกรุงสยามวิววาบ
เธอพล่ามหาความสุขและความสุขหรือความสุข
พื้นหมอกควันปกคุมมุมปากและเหงาหัวเธอ
จิตเธอเร่งสุนทรีย์หากปนมากเศร้าสร้อย
เจ้าหญิงกลางสายควันค่ำแล้วค่ำเช่นเคย
บทเพลงสนทนาตีวงล้อมสายเพลิงเผาผลาญคืนนั้น อารมณ์
บางสิ่งบางอย่างหายไป เพราะเธอโปรดปล่อยมันเอง
ฟังอีกครั้ง เธอโปรดปล่อยมันสู่ดินแดนแห่งความตาย
All Rights Reserved.
Copyright©2006 Suppachai Suriyut

อนาโครจรอารมณ์


อนาโครจรอารมณ์
ฉันก้มกราบตนเองวันละหลายครั้ง
เพื่อไม่ให้โกรธตนเองและผู้อื่น
ฉันสวดมนต์ไหว้วอนตนเอง
ไม่ให้คึกคักคิดชั่วต่อตัวเองและคนอื่น
ฉันนั่งสมาธิภาวนาให้แก่ตนเอง
ไม่ให้สติเลินเลอเลอะเลือน
ไม่ให้ตนเองคิดร้ายแก่ตนเองและผู้อื่น
อนาโครจรอารมณ์ฉันล้มทั้งยืน
ทั้งทั้งฉันตั้งใจมั่นเบิกทาง เส้นนั้น
All Rights Reserved.
Copyright©2006 Suppachai Suriyut

Friday, October 20, 2006

ห้องเสียงกลางวัน



ที่จริงกล่องเสียงธรรมชาติที่แท้เป็นอย่างไร

ห้องเสียงกลางวันและความรักเปล่งอารมณ์

นิ้วทิ้มบนลิ้มเปียโนเจิดจ้าแทรกวันฝนครวญต้นหนาว

ฉันพบความเงียบเหงาในเสียง

ฉันพบความเบิกบานในเพลง

ฉันพบความบากบั่นในทุ่งมนุยษ์ยุคสมัย

ที่แท้กล่องเสียงบรรจุความเกล้าออกล่า

แสงร่ายรำกลางวัน เสียงระบำข้ามคืนวัน

ภาวะจิตระรัวระริกยิบยับเป่งคำหวานขมกลืน

เพลงจบกล่องเสียงแตกดับบันเทิงสิ้น เป็นอย่างที่เป็น

เสียงลี้เร้นหายไปกับความมืดของวันตะวันฉาย


19 ต.ค. 49
All Rights Reserved.
Copyright©2006 Suppachai Suriyut

Tuesday, October 17, 2006

ดนตรี


บานเมื่อรู้โรยร่วง
หากมีใครถามข้าว่า ชีวิตมีอยู่อะไร
ตอนที่ข้าเด็ก ข้ามักตอบว่า..เพื่อผู้บังเกิดเกล้า
หากมีใครถามข้าว่า มีชีวิตอยู่เพื่ออะไร
ตอนนี้ข้าโตแล้ว ข้าเพิ่งจักรู้ว่า..เพื่อความรัก..
บานเมื่อรู้โรยจาก รุ่งอรุณชื่นเย็น หนุ่มแน่น
บานเมื่อรู้โรย ใกล้พบค่ำ ตะวันลับดิน
ใจ..เงียบ..คล้ายสัญญาณว่า จะโดดโรยไปแล้ว
เห็นแล้วจะโรยแล้ว..มืดปิด..
ถามถึงมิตรแท้ รักสุด เสียงดนตรีหวาน
ขับขาน บานแล้วไม่รู้โรย จริงเจ้าข้าเอย
All Rights Reserved.
Copyright©2006 Suppachai Suriyut

Monday, October 16, 2006

มโนรามา


เช้าที่ผกผันฝนพรากแดดจ้า
เช้าแทนมืดหมอกควันว้าวุ่น
พุ่งทะยานอบอวนกอดรักแสงอาทิตย์ออกล่า
ฤดูกาลแปลเปลี่ยนดั่งวันวาน
ผ่านค่ำวันคืนสลับขับขานคิด มิว่างวางวาย
จักวานกว้างไกลแต่ทะเลใจมากเกิน
ฉันจึงรู้บันเทิงรื่นเริงมโนรามารดลาดทะเลจิต
ที่แท้คือเบิกบาน
All Rights Reserved.
Copyright©2006 Suppachai Suriyut

Sunday, October 15, 2006

ฉันจะเป็นกวี



คำดอกวาจาพุดขึ้นกลางเวหาอากาศธาตุใจ
ดอกพิกุลสดสะพรั่งทอดถอดกายหลุดร่วง

รัก ฟ้า
นอน ดิน
กิน ดาว
กวี ยาว
ชีวิต สั้น








All Rights Reserved.
Copyright©2006 Suppachai Suriyut